ผู้ผลิตและจำหน่ายสายพานลำเลียงมาตรฐาน DIN, JIS ที่ใหญ่ที่สุดในไทย +66(0)34 468591-3 [email protected] จันทร์-ศุกร์ 7.30-18.00 น. / เสาร์ 7.30-16.30 น.

เกี่ยวกับสายพานลำเลียง

  • โครงสร้างของสายพานลำเลียง

    สายพานลำเลียงมีส่วนประกอบหลักคือ
            1. ยางผิวบน : ทำหน้าที่ รองรับวัสดุขนถ่าย และป้องกันการเสียหายของชั้นผ้าใบในการรับแรง และยังมีคุณสมบัติป้องกันแรงกระแทก ป้องกันการเจาะทะลุ ป้องกันน้ำมัน ป้องกันความร้อน ยางผิวบนมีหลายชนิด สามารถเลือกใช้งานตามความเหมาะสมของวัสดุที่ลำเลียง
            2. ชั้นผ้าใบ : ทำหน้าที่ เป็นแกนกลาง ในการรับแรงดึงของสายพานทั้งเส้น และช่วยในการกระจายแรงดึงของสายพาน ขณะลำเลียงวัสดุอีกด้วย
            3. ชั้นยางประสานผ้าใบหรือชั้นน้ำกาว : ทำหน้าที่ในการประสานผ้าใบของแต่ละชั้นเข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นเนื้อเดียวกัน
            4. ยางผิวล่าง : ทำหน้าที่ ป้องกันชั้นผ้าใบของสายพานเพื่อไม่ให้เสียหาย จากการเสียดสีกับลูกกลิ้งและพูเล่ย์ 
    สรุป ชั้นผ้านั้นเป็นแกนหลักของสายพาน ทำหน้าที่รับแรงต่างๆ ที่เกิดกับสายพาน ชั้นน้ำกาวที่เคลือบบนชั้นผ้า ทำหน้าที่ยึดติดชั้นผ้าเข้าด้วยกัน และยึดติดชั้นผ้ากับผิวยางชั้นนอก ส่วนผิวยางชั้นนอก ทำหน้าที่ปกป้องชั้นผ้า จากสภาวะแวดล้อมในการใช้งาน
  • การเลือกชั้นผ้าของสายพานลำเลียง
    ชั้นผ้าของสายพานลำเลียง ควรจะสามารถรับแรงทั้งหมด ที่เกิดกับสายพานได้ทั้งในขณะที่รับ และบรรทุกน้ำหนักวัสดุ ชั้นผ้านี้ควรจะได้รับการออกแบบให้มีสมรรถภาพการใช้งาน ดังนี้
            1. ความทนต่อแรงดึง โดยต้องอยู่ในระดับที่จะทนต่อแรงดึงสูงสุด ในขณะใช้งานได้
            2. การรับน้ำหนัก มีความแข็งแกร่งตามแนวตัดขวาง เพื่อค้ำสายพานเมื่อบรรทุกอย่างเต็มที่
            3. ความทนทานต่อแรงตกกระทบกระแทก โดยต้องมีความสามารถที่จะรับแรงตกกระทบกระแทก ในขณะที่วัสดุที่บรรทุกหล่นลงมาบนสายพาน ณ จุดบรรทุกหรือจุดโหลดวัสดุ
            4. ความยืดหยุ่นตามแนวขวาง มีความยืดหยุ่นเพียงพอ ที่จะสัมผัสกับรางในขณะที่ไม่มีน้ำหนักบรรทุก
            5. ความยืดหยุ่นตามแนวยาว มีความยืดหยุ่นเพียงพอ ที่จะเคลื่อนที่ไปรอบพูเล่ย์ทุกตัวในระบบ โดยไม่ทำให้อายุการใช้งานลดลง
    ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ แต่ละปัจจัยควรได้รับการพิจารณาอย่างละเอียด ปัจจัยใดที่มีความจำเป็นอย่างมากที่สุด ต่อชั้นผ้าของสายพานลำเลียง ก็ควรจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบ ที่ท่านจะเลือก เมื่อท่านได้ตัดสินใจ เลือกแบบที่ตรงกับความต้องการ ในปัจจัยที่สำคัญที่สุดแล้วควรจะกลับไปพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่เลือกนั้นเหมาะสมแล้วหรือยัง บางกรณีอาจจะพบว่า มีชั้นผ้าสายพานลำเลียงมากกว่าหนึ่งแบบ ที่ตรงกับความต้องการ ในกรณีเช่นนี้ควรเลือกแบบที่ประหยัดค่าใช้จ่ายมากที่สุด
  • ผ้าโพลีเอสเตอร์/ไนลอน

    ผ้า  “อีพีเป็นผ้าทอใยสังเคราะห์ ซึ่งใช้ใยโพลีเอสเตอร์เป็นด้ายยืน และใช้ใยโพลียาไมด์ (ไนลอน) เป็นด้ายพุ่ง โดยมีลักษณะเฉพาะดังนี้

    1. การยืดตัวน้อยเมื่อรับแรงดึง: ดังนั้นสายพาน ผ้าอีพี”  เมื่อใช้งานไปแล้ว จะมีการยืดตัวของผ้าอีพีที่น้อย ทำให้ใช้ระยะ Take Up สั้นลง จึงประหยัดทั้งพื้นที่และค่าใช้จ่าย ของโครงสร้างสายพานลำเลียงทั้งหมด และยังทำให้สายพานเริ่มเคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัวขึ้นโดยเฉพาะในกรณีของช่วงสายพานที่ยาวๆ

    2. ทนต่อความชื้นและน้ำได้ดี: สายพาน ผ้าอีพีจะลดความเสียหายที่เกิดจากความชื้นและน้ำซึ่งเป็นเหตุให้ความแข็งแรงของสายพานลดลง และเกิดการแยกตัวระหว่างชั้นผ้า ดังนั้นจึงช่วยให้สายพานมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

    3. ได้รับผลกระทบน้อยจากอุณหภูมิ: สายพาน ผ้าอีพีสามารถรักษาความแข็งแรง การยืดตัวและขนาดให้คงที่อยู่เสมอ แม้จะอยู่ภายใต้อุณหภูมิที่สูง ซึ่งทำให้สายพาน ผ้าอีพีมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้ในบริเวณที่มีอุณหภูมิและความชื้นสูง

    4. เลื่อนไปตามรางได้ดี

    5. ทนต่อแรงกระแทกได้ดี

    6. ทนต่อสารเคมีต่างๆ ได้ดี

    7. ไม่เปื่อยและไม่เป็นรา

     


  • การเลือกผิวยางชั้นนอกของสายพานลำเลียง
    ผิวยางชั้นนอก ของสายพานลำเลียงนั้น เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยปกป้องตัวชั้นผ้า ขนาดความหนาของผิวยางสายพานถูกกำหนดโดยรอบหมุนของสายพานและสภาพการบรรทุก ยางของสายพานควรเลือกให้มีสมรรถภาพ ทนต่อการใช้งานโดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้
            1. วัสดุลำเลียง : ความแตกต่างกันในด้านขนาด ชนิดและปริมาณวัสดุ จะมีผลต่อขีดความสามารถในการทนทานต่อการฉีกเจาะ และการสึกกร่อนของสายพาน
            2. การบรรทุก : วิธีการบรรทุกวัสดุลงบนสายพาน มีผลต่ออายุการใช้งานของสายพาน ตัวอย่างเช่น การบรรทุกวัสดุลงโดยทำมุม 90° กับการเคลื่อนที่ของสายพาน จะทำให้เกิดการสึกกร่อน มากกว่าการบรรทุกโดยวางเรียงบนสายพาน เป็นต้น
            3. สภาพแวดล้อม : ผิวยางสายพานในปัจจุบันสามารถผสมสูตรพิเศษออกมา เพื่อให้มีความสามารถทนต่อน้ำมัน ความชื้น ความร้อนและเปลวไฟ ขีดความสามารถในการทนทาน ต่อการถูกทำลายด้วยโอโซน และ ความเสื่อมจากอายุการใช้งานของผิวยางแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไป
    จากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ควรนำไปพิจารณา เช่นเดียวกับกรณีที่จะเลือกชั้นผ้าของสายพาน โดยมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่แตกต่างกัน เป็นหัวข้อในการตัดสินใจ ในการเลือกชนิด และความหนาของผิวสายพาน ปัจจุบันมีการใช้ส่วนผสม ของยางสังเคราะห์ชนิดต่างๆ และยางธรรมชาติอย่างกว้างขวาง ทำให้สายพานมีผิวยางที่มีคุณสมบัติพิเศษมากยิ่งขึ้น ในการคุ้มกันสายพาน ทำให้มีอายุการทำงานที่นาน และทนทานต่อสภาวะต่างๆ เป็นที่น่าพอใจ
  • คุณสมบัติยางผิวสายพานสำหรับงานลำเลียงทั่วไป

    ผิวเกรด

    Grade

    ค่าความต้านทานแรงดึงขาดต่ำสุด

    Min. Tensile Strength

     (kgf/cm2)

    ค่าความยืดตัวต่ำสุด ณ จุดขาด

    Min. Elongation at Break

    (%)

    ค่าความต้านทานการสึกหรอ

    Abrasion Resistance 

    (mm3)

    อุณหภูมิการใช้งานสูงสุด

    Max. Temp.

    (°C)

    JIS

    DIN

    JIS

    DIN

    JIS

    DIN

    JIS

    DIN

    M

    180

    250

    450

    450

    200

    150

    70

    70

    N

    140

    200

    400

    400

    250

    200

    70

    70

    P

    80

    150

    300

    350

    400

    250

    70

    70


    คุณสมบัติและการใช้งาน
    Grade M : เป็นสายพานทนแรงดึงสูง มีความต้านทานการสึกหรอ  และการตัดเจาะขาดที่ดีมาก  เหมาะสำหรับงานที่ต้องการรับแรงกระแทกสูง  ใช้ลำเลียงวัสดุขนาดใหญ่                      วัสดุแหลมคมและวัสดุผิวหยาบขรุขระ
    Grade N : เป็นสายพานทนแรงดึงสูง  มีความต้านทานการสึกหรอ  และการตัดเจาะขาดที่ดี  แต่น้อยกว่าเกรด M ใช้ในการลำเลียงก้อนหินบด  ถ่านหิน  หินปูน ฯลฯ
    Grade P : สายพานสำหรับลำเลียงงานเบาทั่วไป  เหมาะสำหรับลำเลียงวัสดุที่มีความสึกกร่อนน้อย  และวัสดุขนาดเล็ก
  • คุณสมบัติยางผิวสายพานทนน้ำมัน

    ผิวเกรด

    Grade

    ค่าความต้านทานแรงดึงขาดต่ำสุด

    Min. Tensile Strength

    ค่าความยืดตัวต่ำสุด ณ จุดขาด

    Min. Elongation at Break

    (%)

    การบวมเมื่อแช่น้ำมัน

    Max. Swelling*

    (%)

    อุณหภูมิการใช้งานสูงสุด

    Max. Temp.

    (°C)

    (N/mm2)

    (kgf/cm2)

    OR1

    14

    140

    400

    30

    75

    OR2

    14

    140

    400

    30

    100


    *โดยใช้น้ำมัน IRM 903 Oil ที่อุณหภูมิทดสอบ 100 °C ระยะเวลา 24 ชั่วโมง

    คุณสมบัติและการใช้งาน

    OR1 : ทนน้ำมันหล่อลื่นปิโตรเลียม น้ำมันพืช และน้ำมันสัตว์ดีมาก ใช้ในงานลำเลียงเมล็ดพืช ธัญพืชที่มี                     น้ำมัน ถ่านหินที่สเปรย์น้ำมัน ชิ้นส่วนโลหะที่มีน้ำมัน เป็นต้น

    OR2 : ทนน้ำมันพืช และน้ำมันสัตว์ดี ทนน้ำมันหล่อลื่นปิโตรเลียมปานกลาง ใช้ในงานลำเลียงวัสดุที่มีน้ำมัน                 และต้องการทนอุณหภูมิสูง

     


  • คุณสมบัติยางผิวสายพานทนอุณหภูมิสูง

    ผิวเกรด

    Grade

    ค่าความต้านทานแรงดึงขาดต่ำสุด

    Min. Tensile Strength

    ค่าความยืดตัวต่ำสุด ณ จุดขาด

    Min. Elongation at Break

    (%)

    อุณหภูมิวัสดุลำเลียง

    Material Temp.

    (°C)

    อุณหภูมิการใช้งานของผิวสายพาน

    Belt Surface Temp.

    (°C)

    ความหนาผิวสายพาน

    Thickness

    (mm)

    (N/mm2)

    (kgf/cm2)

    HR 100

    15

    150

    350

    60-150*

    80-100

    <not less than 5 mm>

    ไม่ต่ำกว่า 5 มม.

    HR 120

    10

    100

    300

    100-200*

    100-120

    <not less than 5 mm>

    ไม่ต่ำกว่า 5 มม.

    HR 150

    10

    100

    300

    150-300*

    100-150

    <not less than 5 mm>

    ไม่ต่ำกว่า 5 มม.

    HR 200

    10

    100

    300

    150-400*

    120-180

    <not less than 5 mm>

    ไม่ต่ำกว่า 5 มม.


    *อุณหภูมิวัสดุลำเลียงสูงสุด-สำหรับวัสดุที่มีขนาดใหญ่กว่า 100 มม.


    คุณสมบัติและการใช้งาน

    HR 100 : เหมาะสำหรับการใช้งานลำเลียง ที่ผิวสายพานมีอุณหภูมิไม่เกิน 100 °C หรือลำเลียงวัสดุที่มีอุณหภูมิสูงไม่เกิน 150 °C เช่น แร่เหล็ก ถ่านโค๊ก หินปูน ฯลฯ


    HR 120 : เหมาะสำหรับการใช้งานลำเลียง ที่ผิวสายพานมีอุณหภูมิไม่เกิน 120 °C หรือลำเลียงวัสดุที่มีอุณหภูมิสูงไม่เกิน 200 °C เช่น ผลิตภัณฑ์ซีเมนต์ หินปูน ดินเหนียว ขี้โลหะ ฯลฯ

        

    HR 150 : เหมาะสำหรับการใช้งานลำเลียง ที่ผิวสายพานมีอุณหภูมิไม่เกิน 150 °C หรือลำเลียงวัสดุที่มีอุณหภูมิสูงไม่เกิน 300 °C เช่น ก้อนแร่ร้อน ซีเมนต์ร้อน ปุ๋ยและเคมีร้อน ฯลฯ


    HR 200 : เหมาะสำหรับการใช้งานลำเลียง ที่ผิวสายพานมีอุณหภูมิไม่เกิน 180 °C หรือลำเลียงวัสดุที่มีอุณหภูมิสูงไม่เกิน 400 °C เช่น ก้อนแร่ร้อน ผงโลหะร้อน ชิ้นโลหะร้อน ฯลฯ



              ปัจจัยที่ต้องพิจารณา ในการเลือกสายพานลำเลียงทนอุณหภูมิสูงนั้น นอกจากอุณหภูมิของวัสดุลำเลียงแล้ว ยังต้องคำนึงถึงอุณหภูมิของผิวสายพานด้วย อุณหภูมิของผิวสายพาน จะขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของวัสดุลำเลียง ความเร็วสายพานอัตราการลำเลียง และสภาวะแวดล้อม 

              นอกจากยางผิวเกรดมาตรฐานด้านบนแล้ว บริษัทฯ ยังมีผิวยางเกรดพิเศษอื่นๆ อีก เช่น เกรดทนปุ๋ยเคมี, เกรดทนกรด-ทนด่าง, เกรดสำหรับลำเลียงอาหาร เป็นต้น ตามความต้องการใช้งานของลูกค้า

  • สายพานลำเลียงทนไฟ
    การใช้งาน

    มื่อมีการใช้สายพาน ในบริเวณที่เข้าถึงได้ยากนั้น การลดความเสี่ยงอันอาจจะเกิดไฟไหม้ขึ้น มีความสำคัญมาก ผิวสายพานได้รับการออกแบบ โดยอ้างอิงมาตรฐาน ISO340, DIN22103(K) และ JIS K 6324 เหมาะสำหรับงานเหมืองใต้ดินและบนดิน งานลำเลียงวัสดุที่ต้องการสายพานที่มีคุณสมบัติ กันติดไฟและกันไฟฟ้าสถิตย์ เช่น ในอุตสาหกรรม เคมี หล่อโลหะ พลังงาน ไฟฟ้า เป็นต้น



    คุณสมบัติยางผิวสายพานทนไฟ

    ผิวเกรด

    Grade

     

     

     

    มาตรฐาน

    Standard

     

     

     

    ค่าความต้านทาน

    แรงดึงขาดต่ำสุด

    Min. Tensile

    Strength

    ค่าความยืดตัวต่ำสุด

    ณ จุดขาด

    Min. Elongation

    at Break

    (%)

    ค่าความต้านทาน

    การสึกหรอ

    Abrasion

    Resistance

    (mm3)

    (N/mm2)

    (kgf/cm2)

     

     

    FR

     

     

    ISO 340

    17

    170

    350

    180

    DIN K

    20

    200

    400

    200

    JIS K 6324

    10

    100

    350

    200

  • ระดับความสึกกร่อนของวัสดุลำเลียง



    สึกกร่อนน้อย

    Moderately Abrasive

    สึกกร่อนพอควร

    Abrasive

    สึกกร่อนมาก

    Highly Abrasive

    สึกกร่อนมากที่สุด

    Extremely Abrasive

    ปูนขาว : Lime
    ถ่านไม้ : Charcoal
    ธัญพืช : Cereals
    ท่อนซุง : Timber
    ฟืน : Firewood
    แป้งหิน : Talc
    หิน : Stone
    เกลือ : Salt

    ทราย : Sand
    บอแรกซ์ : Borax
    แร่ธาตุ : Mineral
    ถ่านหิน : Coal     
    กรวด หินลูกรัง : Gravel
    ซีเมนต์ : Cement
    โดโลไมท์ : Dolomite
    ขี้โลหะ : Slag

    ทรายคม : Sharp Sand
    แร่อลูมิเนียม : Bauxite
    กรวดคม : Sharp Gravel
    หินปูน : Calcareous Stone
    อิฐแข็ง หินจากเตาหลอม : Clinker
    ถ่านกัมมันต์ : Coke
    หินโม่ : Crushed Rock
    แร่ควอตซ์ : Quartz
    แร่ทองแดง : Copper Ore
    หินคม : Sharp Stone
    หินฟอสเฟต : Phosphate Rock
    เถ้า : Sinter
    ซีสต์ : Xyst 

    หินบะซอลท์ : Basalt
    เศษแก้ว : Glass Fragment
    แร่ดีบุก : Cassiterite
    หินแกรนิต : Granite
    แร่เหล็ก : Iron Ore
    แร่แมงกานีส : Manganese Ore

  • การเลือกขนาดของพูเล่ย์

    ชนิดผ้า

    Fabrics

    เส้นผ่านศูนย์กลางต่ำสุดของพูเล่ย์ลูกขับและลูกตาม

    Min. Diameter of Head and Tail Pulley (mm)

    จำนวนชั้นผ้าอีพี  No. of Ply

    2 ชั้น

    3 ชั้น

    4 ชั้น

    5 ชั้น

    6 ชั้น

    7 ชั้น

    EP100-125

    EP150-160

    EP200

    EP250

    EP300-315

    200

    250

    300

    350

    450

    300

    350

    450

    500

    650

    450

    500

    600

    650

    850

    550

    600

    750

    800

    1050

    650

    700

    900

    1000

    1300

    750

    850

    1050

    1150

    1500

Cookie Policy

เว็บไซต์นี้มีการใช้คุกกี้ เพื่อทำงานรันหน้าเว็บไซต์ได้อย่างสมบูรณ์ โดยเราจะใช้คุกกี้เมื่อท่านเข้ามาหน้าเว็บไซต์โปรดคลิก "ยอมรับ" เพื่อปิดกล่องข้อความนี้